
รังสีร่วมรักษา รังสีร่วมรักษา เป็นวิธีรักษาโดยใช้เครื่องมือตรวจพิเศษส่องให้เห็นพยาธิสภาพภายในร่างกาย ซึ่งช่วยให้แพทย์มองเห็นภายในได้อย่างชัดเจนขึ้น แพทย์ที่ทำหน้าที่ในการตรวจและรักษาโดยเทคนิคของรังสีร่วมรักษา คือ รังสีแพทย์ที่ผ่านการอบรมในสาขาวิชารังสีวินิจฉัย หรือรังสีวิทยาทั่วไป และได้รับวุฒิบัตรหรืออนุมัติบัตร ซึ่งรังสีแพทย์จะทำการฝึกอบรมเพิ่มเติม (Fellowship Training)ในสาขาวิชารังสีร่วมรักษาก่อน จึงจะสามารถให้การตรวจรักษาผู้ป่วยด้วยเทคนิคของรังสีร่วมรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบของแพทย์รังสีร่วมรักษา คือ แพทย์สาขานี้มีความสามารถในการแปลผลจากภาพ X – Rayหรือภาพจากเครื่องมืออย่างอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น อัลตร้าซาวด์ ( Ultrasound ), เอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT – Scan) ได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้ตำแหน่งของโรคได้แม่นยำ ซึ่งถ้ามีก้อนผิดปกติอยู่ในท้อง แพทย์รังสีร่วมรักษาจะสามารถบอกตำแหน่งของก้อนได้อย่างชัดเจนว่าก้อนผิดปกตินั้นอยู่ในตับ , ตับอ่อน , ม้าม , ไต , ลำไส้ หรือด้านหลังช่องท้อง (Retro-peritoneum) เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถบอกได้ว่า ก้อนผิดปกตินั้นอยู่ใกล้กับอวัยวะใด และจะเกิดผลตามมาอย่างไร และแนวทางการรักษา สามารถทำได้โดยวิธีทางรังสีร่วมรักษาได้หรือไม่ ต่อมาเมื่อทราบตำแหน่งของโรคแล้ว จะสามารถเอาชิ้นเนื้อออกมาตรวจ หรือทำการรักษาโรคนั้นๆ ได้ โดยใช้วิธีแทงเข็มหรือใส่เครื่องมือผ่านทางผิวหนังลงไปที่ตำแหน่งของโรคโดยตรง (Per-cutaneous Technique) ซึ่งไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ ใช้เพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ บริเวณผิวหนังเท่านั้น วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดผลข้างเคียงจากการผ่าตัด และการดมยาสลบ ลดระยะเวลาพักฟื้น รวมไปถึงลดค่าใช้จ่ายจากการตรวจรักษาอีกด้วย ตัวอย่างของหัตถการ (Procedures) ทางรังสีร่วมรักษา ได้แก่ + การดูดชิ้นเนื้อหรือสารน้ำมาตรวจ โดยใช้เครื่องมือทางรังสีเป็นตัวนำทาง [ Image–Guided Fine Needle Aspiration ] ในกรณีที่มีก้อนเนื้อ (Tumor) , ก้อนน้ำ (Cyst) หรือหนอง (Abscess) ในส่วนลึก ของร่างกาย ที่ต้องการทราบผลทางพยาธิวิทยา หรือต้องการนำไปตรวจหาชนิดของเชื้อโรค + การใส่สายระบายหนอง (Abscess) หรือก้อนน้ำ (Cyst) [ Percutaneous Drainage ] ในกรณีที่มีหนองหรือ Cyst อยู่ในส่วนลึกของร่างกาย อาทิ หนองในช่องปอด (Empyema, Loculated Pleural Effusion) , หนองในตับ (Liver Abscess) , หนองในช่องท้อง (Intraabdominal Abscess) เป็นต้น + การใส่สายระบายน้ำดี [ Percutaneous Transhepatic Biliary Drainage ] ในกรณีที่มีการอุดตันของท่อน้ำดี + การใส่สายระบายน้ำปัสสาวะ [ Percutaneous Nephrostomy ] ในกรณีที่มีการอุดตันของท่อปัสสาวะ การฉีดสีตรวจดูเส้นเลือด [Diagnostic Angiogram ] ในกรณีที่มีความผิดปกติของเส้นเลือด อาทิ เส้นเลือดตีบ ( Stenosis) , เส้นเลือดอุดตัน (Occlusion) , หรือเส้นเลือดโป่งพอง (Aneurysm) + การฉีดสารเข้าไปอุดเส้นเลือด [ Embolization ] เพื่อห้ามเลือดในกรณีที่มีเลือดออกมาก อาทิ ไอเป็นเลือด (Hemoptysis) , ถ่ายเป็นเลือด (GI-bleeding) , เลือดออกในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Bleeding) + การรักษามะเร็งตับ (Transhepatic Oily Chemoembolization) การใช้บอลลูน [ Balloon Angioplasty ] หรือท่อสังเคราะห์ [Stent Placement ]เข้าไปถ่างขยายเส้นเลือด ในกรณีที่เส้นเลือดตีบ (Stenosis) + การฉีดยาละลายลิ่มเลือดโดยตรงเข้าไปในเส้นเลือดที่มีการอุดตันจากลิ่มเลือด [ Catheter -DirectedThrombolysis ]ในกรณีที่มีการอุดตันของเส้นเลือดจากลิ่มเลือด ซึ่งจะเห็นได้ว่ารังสีวิทยาเป็นวิธีการที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยได้อย่างมาก สามารถนำไปใช้ได้กับโรคที่เกิดกับอวัยวะเกือบทุกระบบ ทั้งในด้านการตรวจวินิจฉัยและการรักษา ============================================ บทความโดย : นายแพทย์เถลิงเกียรติ แจ่มอุลิตรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยาทั่วไปและด้านรังสีร่วมรักษาส่วนลำตัวและด้านการตรวจหลอดเลือดด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์คลื่นความถี่สูง ศูนย์รังสีร่วมรักษากรุงเทพ ร.พ.นันอา ติดต่อนัดหมาย หรือ สอบถามข้อมูล +66 94 505 5454
Comments